rss
email
twitter
facebook

Monday, July 26, 2010

อาชีพเสริม : สูตรเด็ด ข้าวไข่เจียวอร่อยทำเงิน

รายได้เสริม-ทำข้าวไข่เจียว
บอกลาไข่แบนๆแฟ่บๆ ขาดรุ่งริ่ง อมน้ำมันไปได้เลย
ไข่เจียว in a pot !!
ต้องขอขอบคุณ Forward Mail ดี ๆ ที่ทำให้เกิดไอเดียร์นะครับ
ใครจะรู้ อาจจะมีบางคนนำไปทำขาย เป็นอาชีพเสริมก็ได้
นายแก้จนว่านะ ถ้าทำขายจริง ๆ ก็คงจะดีไม่ใช่น้อยครับ อาหารง่าย ๆ กับเวลาที่เราเร่งรีบกันอยู่นี้ นายแก้จนว่ามันน่าจะดีกว่าอาหาร ขยะบางอย่าที่ขายกันแพงสุดกู่ก็ได้ครับ อาจนำไปสูตรนี้ไปทำข้าวไข่เจียวขาย เป็นรายได้เสริมอีกทางก็อาจจะรวยไม่รู้เรื่องก็ได้นะครับ ข้าวไข่เจียว ของนายไข่เจียว
“คิดได้ทำได้ ไม่มีจนครับ” พี่น้อง

ทำ “ไข่เจียวธรรมดา” ให้ฟูแล้วไม่แฟ่บ แถมกรอบนอกนุ่มในแบบไม่พึ่งตัวช่วยใดๆ
นายแก้จนเองก็เป็นคนชอบกินไข่เจียวมาก เนื่องจากเป็นเมนูที่ทำให้อร่อยได้ง่าย ถ้ารู้จักเทคนิคเล็กๆน้อยครับ
ซึ่งในกระทู้นี้เราจะว่ากันด้วยการทำ “ไข่เจียวธรรมดา” คือไม่ใส่เนื้อสัตว์หรือผักอะไรใดๆให้วุ่นวาย
ให้เป็นไข่เจียวที่ “ทำง่ายมาก และ อร่อย”
ซึ่งนายแก้จนนั้นเคยลองทำมาหมดแทบจะทุกวิธีแล้ว ไม่ว่าจะเป็น

บีบมะนาว = ไข่ฟูตอนเจียว แล้วจะแฟ่บภายหลังจากตักขึ้นมา
ใส่แป้ง , ผงฟู = ไข่ฟูแล้วไม่แฟ่บ ตั้งอยู่ได้จริง แต่เนื้อไข่เจียวจะด้านไปนิด
น้ำมันมากๆ โรยไข่จากที่สูงแล้วคนๆตีๆในกระทะ = ไข่ฟูฟ่องเป็นสายๆ ค่อนข้างอมน้ำมันเวลากินจะ
ไม่ค่อยได้เนื้อไข่เท่าไหร่ เพราะมันจะฟู
แยกไข่แดง ไข่ขาวตีให้ตั้งยอด = ฟูจริง แต่เสียเวลาทำมาก
มีข้อด้อยคือกำหนดรูปร่างไข่ได้ลำบาก
ด้วย- ฯลฯ
จะเห็นได้ว่าเทคนิคต่างๆมีข้อดีแตกต่างกันไป แต่นายแก้จนได้พบเทคนิคหนึ่งซึ่งทำให้การทำไข่เจียวให้ฟูนุ่มแล้วไม่แฟ่บ แถมยังง่ายดายมากๆ สมกับการเป็น “ไข่เจียว” มากๆ มาดูกันครับว่ามันจะง่ายแค่ไหน กับผลที่ได้ตาม
ภาพนี้ เทคนิคที่ว่านั้นคือการใช้ “หม้อ” ในการเจียวไข่นอกจากเราไม่ต้องกลัวรูปร่างไข่จะไม่สวยแล้ว
เรายังสามารถทำให้มันฟูและหนาได้ตามความต้องการโดยไม่ใช่ตัวช่วย หรือสารประกอบใดๆทั้งสิ้น( ตามปกติแล้ว การใส่หมูสับ หรือใส่แป้งลงไป จะทำให้ไข่หนาขึ้นมาได้มากขึ้น
แต่ว่าวันนี้เราต้องการเป็นเนื้อไข่ไก่ล้วนๆ)เครื่องมือ+เครื่องปรุงของนายแก้จน วันนี้มีแค่ 3-4 อย่างเท่านั้น

ไข่ไก่ 2 ฟอง
ซีอิ้วขาว
หม้อ + น้ำมันสำหรับทอด สิ่งที่ยังขาดไม่ได้ก็คือ “ไฟ” ต้องมีความแรงอยู่พอสมควร แต่ไม่ถึงกับต้องแรงจัด
คนที่ไม่มีเตาเร่งหรือเตาฟู่ ก็ยังพอทำได้ครับ นำหม้อใส่น้ำมันพืช แล้วนำไปตั้งไฟ
พอให้เริ่มมีควันเล็กน้อย ไม่ถึงกับควันโขมงนะสำหรับหม้อขนาดนี้ ใช้ไข่ 2 ฟอง กำลังเหมาะครับถ้าใช้ 3 ฟองก็ยังพอได้อยู่ แต่มันจะฟูขึ้นมาจนเกือบล้นเวลาทอด
เดี๋ยวคอยดูละกันเนอะ ปรุงรสด้วยซีอิ็วขาวเพียงอย่างเดียว แล้วตีเร็วๆ
ให้เข้ากัน ตีเสร็จแล้ว อย่าวางทิ้งไว้ รีบเอาลงกระทะเลย ฟองอากาศมันจะได้ยังแฝงตัวอยู่ในเนื้อไข่ ไม่ลอยขึ้นมาจนหมดจำไว้ว่า ถ้าอยากได้ไข่ที่ฟูกรอบ
น้ำมันจะต้องมากพอ แต่ก็ต้องไม่มากเกินไป และต้องร้อนระดับควันขึ้นฉุยๆ แต่ไม่ใช่ควันโขมง นับ 1 2 3 เมื่อเทไข่ลงไป ก็จะได้ผลอย่างที่เห็นในรูป
มันฟูออกมาพอดีๆหม้อ เป็นไข่เจียวกลมๆหนาๆ ที่แสนน่ากิน
กลับแล้ว 1 รอบ ทอดไปสักครู่ จนเริ่มเห็นว่าผิวด้านบนของไข่ เริ่มแห้ง
นายแก้จนพลิกอีกครั้งหนึ่ง เพราะไข่เจียวด้านแรก มักจะสวยกว่าอีกด้านเสมอ
เสร็จแล้วช้อนขึ้นมาโลด เอามาวางไว้บนตะแกรงเพื่อสะเด็ดน้ำมัน
ถ้าเป็นไข่แบบบีบมะนาว รับรองแฟ่บตั้งแต่ตักขึ้นจากกระทะ
ด้านข้าง ของเจ้าไข่เจียวทอดหม้อ ฟูแล้วไม่แฟ่บ
การใช้หม้อทอดไข่ เป็นสิ่งที่ตอบโจทย์ได้ทุกข้อเลยครับ
ทั้งความง่ายในการทอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกลับไข่ ที่ทุกคนเป็นห่วง
เพราะดูแล้วหม้อมันจะคับแคบ และกลับยาก
แต่ว่าไม่ได้เป็นอย่างที่คิดครับเพราะไข่จะลอยอยู่บนน้ำมัน และไม่ได้แตะก้นหม้อแต่อย่างใด
ดังนั้นการกลับก็แค่ใช้ตะหลิว หรือแม้กระทั้งช้อนกินข้าวนี่ล่ะ
ตลบมันกลับอีกด้าน ไม่ต้องกลัวมันแตกหรือขาดอย่างเวลาใช้กระทะทอดด้วยครับ
คือทำอย่างไรมันก็จะเป็นรูปกลมๆหนาๆ น่ากินเช่นนี้เสมอๆ นอกจากจะฟูแล้วไม่แฟ่บ
มันยังมีเนื้อไข่สีเหลืองๆนุ่มๆให้เราได้สัมผัสด้านในด้วยไม่ใช่ว่าฟูกรอบจนไม่เหลือเนื้อไข่นะ
แบบนี้สิ ไข่เจียวในฝันเลยยย เอาอะไรมาแลกก็ไม่ยอมม
วันนั้นนายแก้จนทอดไข่มากินกับข้าวอบหมูแดดเดียว แบ่งมาโปะข้าวแบบนี้เลย กินคู่กัน อร่อยไปอีกแบบ ที่จริงกินกับข้าวสวยร้อนๆแค่นั้นก็เด็ดขาดแล้ว เป็นไข่เจียวที่ทำง่าย อร่อยง่าย และพลาดยากมากๆ ขอเพียงมีอุปกรณ์ที่เหมาะสมและใกล้เคียง ส่วนเทคนิคในการทำนั้น แทบไม่มีอะไรเลยครับ เป็นไข่เจียวที่ทอดทีไร ก็ออกมาเหมือนกันทุกครั้ง แบบไม่ต้องลุ้นเลย เนื้อไข่ฟูด้านนอก นุ่มนิ่มด้านใน ไม่อมน้ำมันด้วยน้า

Sunday, July 25, 2010

รายได้เสริม:ไก่ทอดสมุนไพรเชียงคำ

รายได้เสริม-ไก่ทอดสมุนไพร
ณ เวลานี้มีผู้คนตกงานกันไม่เว้นแต่ละวัน ต่างคนก็ต่างดิ้นรนหางานใหม่เพื่อหาเลี้ยงชีพตัวเอง และครอบครัว และหลายคนกำลังคิดไม่ออกว่าจะทำอะไรดี เพราะงานนั้นก็หายาก อีกส่วนมากอยากขายของแต่ก็ต้องคิดหนักเพราะลงทุนเป็นหลักหมื่น

ซึ่งทำให้ คุณอำไพ แซ่แต้ เจ้าของร้าน ‘ไก่ทอดเชียงคำ สูตรสมุนไพร’ เกิดความคิดที่จะขายสูตรไก่ทอดสมุนไพรให้กับผู้ที่สนใจอยากค้าขายและมีรายได้ที่ดีอย่างตน “เมื่อก่อนที่จะมาขายไก่ทอดนั้น ก็ได้ขายขนมจีบ ซาลาเปา มาก่อน แต่ก็ขายไม่ดี คนเริ่มเบื่อ ขายได้ก็แค่วันละ 100 – 200 บาท เพราะไม่ใช่อาหารหลัก แล้วเราไปเห็นคนที่เขาขายไก่ทอดซึ่งเขาขายดีมากๆ เห็นแล้วเราจึงอยากขายบ้าง จึงได้ไปขอซื้อสูตรเขามาในราคา 12,000 บาท ด้วยประสบการณ์และความชำนาญในการทำสามารถนำมาปรับปรุงเพิ่มเติมให้เป็นรสชาติของเรา ปรากฏว่าขายดีอย่างมาก” คุณอำไพกล่าว

ปริมาณในการขายแต่ละวันนั้นจะตกอยู่ที่วันละ 30-40 กิโลกรัมต่อวัน ซึ่งขายหมดทุกวัน กำไรตกอยู่ที่ 1,000 – 2,000 บาทต่อวัน ซึ่งเจ้าตัวบอกว่าได้กำไรน้อยสุด ก็ไม่เคยต่ำกว่า 1,000 บาท สามารถดูแลครอบครัวได้อย่างสบาย

ซึ่งมีเมนูให้เลือกกว่า 10 ชนิด แล้วแต่ความชอบของลูกค้า ไม่ว่าจะเป็น เอ็นไก่ทอด น่อง สะโพก ข้อไก่ ปีก เป็นต้น เพื่อเป็นการเพิ่มช่องทางในการขาย เพราะลูกค้าแต่ละคนนั้นจะชอบกินไม่เหมือนกัน จึงต้องทำให้ออกมามีหลายอย่างเพื่อทำให้ขายดียิ่งขึ้น อีกทั้งไก่ทอดนั้นก็นำไปกินเป็นกับข้าวก็ได้ กินเล่น หรือเป็นกับแกล้มนั้นก็ถือว่าดีทีเดียว

วิธีการทำก็ไม่ยุ่งยาก เมื่อนำไก่มาผสมกับสูตรที่ทำไว้ พร้อมหมักเสร็จเรียบร้อยนั้นไม่เกิน 2 ชั่วโมง สามารถนำทอดขายได้ทันที ซึ่งสมุนไพรที่นำมาเป็นส่วนผสมของไก่ทอดนั้นก็หาซื้อได้ไม่อยาก มีขายตามท้องตลาดทั่วไป

เมื่อได้กินเข้าไปแล้วจะได้กลิ่นหอมของสมุนไพร รสชาติอร่อย กลมกล่อม กรอบนอกนุ่มใน รู้สึกถึงรสชาติที่เข้าถึงเนื้อใน ซึ่งไม่น่าแปลกใจที่ทำให้ลูกค้าติดอกติดใจ จนทำให้ขายดีอยู่ตลอด
แฟรนไชส์-ไก่ทอดสมุนไพรเชียงคำ
คุณอำไพยังกล่าวว่า “อยากให้คนที่กำลังมองหาอาชีพ ลองมาขายไก่ทอดสมุนไพรดู เพราะเป็นอาหารที่กินง่าย ขายง่าย รายได้ดี และลงทุนน้อย เนื่องจากนำของที่มีอยู่ในครัวเรือนมาทำได้ ไม่ว่าเตาแก๊ส กะทะ ซึ่งไม่จำเป็นต้องซื้อใหม่ รวมแล้วลงทุนทั้งหมดไม่ถึงหมื่นแน่นอน แค่ไม่กี่พันบาทเท่านั้น”

ใครที่ต้องการขายไก่ทอดสมุนไพรคุณอำไพ พร้อมขายสูตรให้ในราคา 2,900 บาทเท่านั้น พร้อม CD วิธีการทำ ซึ่งแถมสูตรน้ำจิ้มรสเด็ดให้ฟรีอีกด้วย “ที่เราขายสูตรถูกกว่าเจ้าอื่นๆ นั้น เพราะอยากให้คนที่อยากมีอาชีพขายของ แต่มีเงินทุนน้อย หรือคนที่อยากมีอาชีพเสริม ซึ่งเราอยากช่วยคนที่อยากมีอาชีพมีรายได้ที่ดี อุปกรณ์ก็ไม่ต้องไม่หาซื้อ ใช้ของที่มีอยู่แล้วในบ้าน เราก็เต็มใจที่จะขายสูตรให้ในราคานี้ เพื่อต้องการช่วยเหลือคนที่กำลังหาอาชีพจริงๆ เพราะเราก็เคยลำบากมาเหมือนกัน ซึ่งว่าไปแล้ว ไม่มีที่ไหนที่ขายถูกกว่านี้อีกแล้ว”

“ใครที่กำลังมองหาอาชีพที่ลงทุนน้อย หรืออาชีพเสริมที่มีรายได้ดี ก็ลองมาขายไก่ทอดดูรับรองว่ารายได้เป็นที่น่าพอใจ ขอแค่อย่าอายในอาชีพและให้มีความตั้งใจจริงเท่านั้น ก็ทำได้แล้ว อีกทั้งยังสามารถสืบทอดสูตรให้กับลูกหลานเราได้อีกด้วย” คุณอำไพกล่าวปิดท้าย


สนใจสูตร “ไก่ทอดสมุนไพร รสเด็ด เชียงคำ” ติดต่อ คุณอำไพ แซ่แต้ เลขที่ 51/18 ถ.พิศาล ต.หย่วน อ.เชียงคำ จ.พะเยา 56110 โทร.087-694-2461 หรือ 083-567-1237

Saturday, July 24, 2010

‘โอมาอิชิ' แฟรนไชส์บะหมี่ญี่ปุ่นในรถเข็น

รายได้เสริม-บะหมี่ญี่ปุ่นโอมาอิชิคลอด “โอมาอิชิ” แฟรนไชส์บะหมี่ญี่ปุ่น (ราเมน) ในรถเข็นเจ้าแรกของประเทศ ชูแผนอาหารญี่ปุ่นราคาประหยัด ขายได้ทุกแห่ง สูตรเด่นต้นตำรับผสมแบบไทย นำเสนอ 9 เมนูท้าชิม ชามละ 35 บ. ลูกค้าแฮปปี้ ระบุค่าแฟรนไชส์ 85,000 บ. 3 ด.คืนทุน พร้อมจับมือบิ๊กขนส่ง – ปตท. เพิ่มโอกาสผู้ลงทุน

ชัยพิพัฒน์ พฤกษ์วัฒนากุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีรอแยลห้องเย็น อินเตอร์ฟู้ดส์ จำกัด เผยว่า บริษัทฯ ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับอาหารทะเลแปรรูปแช่แข็งมากว่า 15 ปี มีผลประกอบการกว่า 2,000 ล้านบาท ถือเป็นรายใหญ่ติด 1 ใน 3 ของประเทศ เน้นส่งออก 100% ทว่า จากแนวโน้มตลาดส่งออกลดลง ด้วยปัจจัยคู่แข่งเพิ่มขึ้น เช่น จีน , เวียดนาม หรือกฎหมายกีดกันการนำเข้าของประเทศต่างๆ บริษัทฯ จึงหันมาเน้นทำตลาดในประเทศมากขึ้น โดยนำพื้นฐานสินค้าของบริษัท มาแตกไลน์ธุรกิจ เป็นแฟรนไชส์บะหมี่ญี่ปุ่น ในชื่อ “โอมาอิชิ” ซึ่งเป็นรูปแบบรถเข็นรายแรกของไทย

“ผมมองช่องว่างตลาดบะหมี่ญี่ปุ่นที่มีขายอยู่ในขณะนี้ จะมีแต่แบรนด์ใหญ่ และถูกวางตำแหน่งไว้ค่อนข้างสูง แพง และเข้าถึงยาก แต่ตลาดในระดับกลาง และล่างยังไม่มีใครเข้ามาทำตลาด เราจึงรุกในแบบรถเข็น เพราะสามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้ง่าย ขายได้ทุกสถานที่ สร้างรายได้เสริมมานักต่อนักแล้ว”

เชื่อชามละ 35 บาท ลูกค้าแฮปปี้

สำหรับผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมาย คืออายุ 10-30 ปี โดยราคาขาย 35 บาท คิดว่า ผู้บริโภคยอมรับได้ เพราะประเมินเศรษฐกิจพื้นฐานของประเทศ ค่าครองชีพในอีก 3-5 ปีข้างหน้า มาตรฐานราคาอาหารต้องขยับเป็นชามละ 30-35 บาทแน่นอน

ทั้งนี้ แม้ปัจจุบัน ราคายังสูงกว่าท้องตลาด แต่มีจุดขายที่เป็นทางเลือกใหม่ อีกทั้ง ยังเน้นที่ปริมาณต่อชามจำนวนมากกว่าทั้งเส้น และเครื่อง กินชามเดียว ก็อิ่มแล้ว แทนที่จะต้องกิน 2 ชาม 40 บาท จึงจะอิ่ม

“ผมมั่นใจเลยว่า ในอนาคตอันใกล้ ฐานเศรษฐกิจค่าครองชีพของเมืองไทยต้องปรับสูง มันจะทำให้จุดต่างของเราแค่ 5 บาท ซึ่งปัจจุบัน บางสถานที่ ราคา 30-35 บาท ถือว่าเป็นมาตรฐานของคนกรุงเทพฯ ไปแล้ว ถ้าจะบอกว่า “โอมาอิชิ”แพง ผมคิดว่า ต้องมีมิติการมองอีกมุมหนึ่ง”

แฟรนไชส์ 85,000 บ. 3 ด.คืนทุน รายได้เสริม-บะหมี่ญี่ปุ่นในรถเข็น

ชัยพิพัฒน์ อธิบายว่า การลงทุนแฟรนไชส์ “โอมาอิชิ” มี 3 รูปแบบ คือ แบบรถเข็น ราคา 85,000 บาท แบ่งเป็นค่ารถเข็น –อุปกรณ์ 60,000 บาท ที่เหลือเป็นค่าดำเนินการและค่าประชาสัมพันธ์ ทั้งนี้ รถเข็นมีให้เลือก 2 ขนาด ตามแต่ความเหมาะของสถานที่ คือ ขนาด 90 x 180 ซม. และ 110 x 230 ซม. โดยมีระบบเงินผ่อน วางดาวน์ 50,000 บาท ที่เหลือผ่อน 3 หรือ 6 เดือน ดอกเบี้ย 1.5% ซึ่งเสียงสะท้อนจากลูกค้าที่ผ่านมา ไม่มีใครติงว่าราคานี้แพง

และนอกจากรถเข็นแล้วนี้ ยังมี แบบเคาน์เตอร์ในตึกแถว ราคารวม 130,000 บาท และ แบบโครงสร้างซุ้มญี่ปุ่นบนพื้นที่ว่าง ในราคารวม 270,000 บาท โดยเมนูอาหาร และรูปแบบการดำเนินงานแฟรนไชส์จะเหมือนกันทั้งหมด

ทั้งนี้ ผู้ลงทุนจะมีกำไรหลังหักต้นทุนวัสดุดิบเฉลี่ย 52% ต่อชาม (ประมาณ 16 บาท) ควรจะขายได้อย่างต่ำวันละ 70 ชาม จะมีรายได้เดือนละ 73,500 บาท หลักหักค่าใช้จ่ายเหลือ 31,400 บาท สามารถ ถึงจุดคุ้มทุนได้ในเวลา 3 เดือน ทั้งนี้ บริษัทฯ มีร้านต้นแบบอยู่ที่ จ.สมุทรสาคร มียอดขายเฉลี่ยวันละ 100 ชาม และขณะนี้มีลูกค้าจองแฟรนไชส์แล้ว 10 สาขา จึงคิดว่า ยอดขาย 70 ชามต่อวัน ผู้ลงทุนน่าจะทำได้ และในเบื้องต้นบริษัทฯ กำหนดงบประชาสัมพันธ์เพื่อกระตุ้นการตลาดไว้ที่ 5 ล้านบาท

อ้างอิงจาก: ผู้จัดการออนไลน์ และ thaifranchisecenter

Thursday, July 22, 2010

รายได้จาก เสื้อแฟชั่น เสื้อแฮนด์เมด


กระแสเสื้อผ้าแฟชั่น กำลังมาแรงแต่คู่แข่งก็มากมตามเป็นเงาไปด้วยการฉีกแนวออกมาเพื่อขายให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย จะทำให้ลดคู่แข่งและเพิ่มโอกาสในการขายให้ตรงกับกลุ่มได้มากขึ้น การระบายสีสันลงบนเสื้อ ปักเพิ่มเติมนิดหน่อย ก็ทำให้งานที่ออกมาดูดีมีสไตล์ ทำให้เสื้อธรรมดาๆกลายเป็นเสื้อผ้าลายใหม่ น่าสนใจไม่ซ้ำใครถูกใจลูกค้าและช่วยเพิ่มมูลค่าได้ด้วยเพียงใส่ ไอเดียเข้าไปนิดหน่อยเท่านั้นเอง วันนี้จะแนะนำร้านเสื้อผ้าที่ปักเลื่อมเพ้นท์ลายเสื้อสไตล์แบบนี้ ได้แก่ ร้านเสื้อ “ไอแคน”

เจ้าของร้านคือคุณ กนกอร เมืองรื่น ที่มองว่าเสื้อผ้าแฟชั่นธรรมดาๆจะมีลักษณะของการไปไวมาไว คือหมดเทรนด์เร็วและต้องเปลี่ยนแนวไปเรื่อยๆ แถมคู่แข่งก็มากจึงคิดเอกลักษณ์เป็นของตัวเองโดยใส่แบรนด์ “ไอแคน” เข้าไปโดยสร้างสันผลงานให้ออกแนวเสื้อผ้าแฮนด์เมด โดยเป้นเสื้อลายสกรีนและปักเลื่อมเข้าไป ทำให้เก๋ไก๋ เท่ห์แหวกแนว มีจุดดึงดูสนใจแก่ลูกค้า นอกจากนี้ยังบรรจุลงในกระป่องเป็นแพ็คเกจที่แปลกใหม่ไม่เหมือนใครสีเสื้อที่นิยมได้แก่ สีชมพู ซึ่งเป็นสีที่ขายดี และสีเขียวมิ้นท์ชมพูอ่อน ครีม ขาว ดำ น้ำตาล และเทาพอได้เสื้อสีต่าง ๆ ก็จะนำมาสกรีนลาย ที่มีบล็อกไว้แล้ว จากนั้นนำมาเย็บเลื่อมด้วยมือ การวางจุดปักเลื่อมต้องมาร์คจุดตามความเหมาะลมโดยต้องหาจุดเด่นของลายภาพ หากลายเสื้อเยอะจะไม่เน้นปักมาก ให้เด่นเฉพาะบางจุุด เป็นการสร้างเสน่ห์ลงบนเสื้อ พอปักเสร็จ ได้เสือแฮนด์เมดสำเร็จ 1 ตัวไอแคน มีลายลำเรือที่ออกแบบเองเป็น 100 ลาย เน้นภาพการ์ตูน ทีขายดีกับตลาดวัยรุ่น หรือวัยทำงานก็ใส่ง่าย ลายสิ่งของ ที่ดูน่าสนใจ ลายภาพหน้าคน ลายเก้าอี ลายเรื่องราว เป็นต้นการเลือกลายต้องอิงกับเฉดสีเสื้อ เช่นหากเป็นลายกลองถ่ายรูป จะเลือกใช้สีลดๆ ดูแล้วเห็นแต่ไกล มีงานปักเข้ามาช่วยสะท้อนบุคลิกความเท่ห์“เสื้อสกรีน ใครๆ ก็ทำได้ แต่เป็นงานปักด้วย มันช่วยเพิ่มมูลค่าของสินค้า นำมาใส่กระป๋องมันดูน่าสนใจขึ้นแล้วราคาขายก็แค่ตัวละ 100 บาท จะเน้นให้ลูกค้าซื้อไปประทับใจ แล้วกลับมาหาเราอีก ส่วนใหญ่ลูกค้าจะเป็นผู้หญิงตั้งแต่วัยรุ่น จนคุณแม่ยังสาว ที่ชอบเต่งตัว เสึ้อผัาแบบนี้จะเด่นเวลาโดนแสง แล้วแม็ชกับกระโปรง กางเกงง่าย มันไม่ตามกระแส จึงทำให้ขายได้เรื่อยๆ”

นอกจากเสื้อยืดปักเลื่อมเพันท์ลายแล้ว ไอแคน ยังพัฒนาเสื้อทรงยาวผ้าลลาป ที่สุดกับกางเกงขาเด็ป ขาเหยียบที่กำลังมาในซีซั่นนี้ การพัฒนาเสือทรงยาวขึ้นมา เพื่อรองรับสไตล์เทรนด์แต่งตัวในแต่ละช่วงหากใส่กับเลื้อยืดก็จะไม่สวย เพราะกางเกงที่รัดช่วงล่างหากใส่กับเสื้อยืดทรงยาวจะฮิปกว่า เสื้อทรงยาวที่ปล่อยชายถึงละโพก จะช่วยยกหุ่นให้ดูสูง ยาว และอำพรางสำหรับคนเจ้าเหนือได้ หรือจะผูกปมปลายเสื้อทั้ง 2 ด้าน แล้วใส่กับกระโปรงยีนส์ก็เก๋ไปอีกแบบ ขึ้นอยู่กับการมิกซ์แอนด์แม็ช อีกทั้งผ้าสลาป ยังเหมาะกับประเทศไทยที่เป็นเมืองร้อนเพราะเนื้อผ้าที่นิ่ม บางเบา ซักแล้วคืนตัวเร็ว ทำให้สวมใส่สบายแต่ด้วยเสื้อผ้าบางเบา การสร้างเอกลักษณ์จึงไม่สามารถสกรีนหรือปัก เลื่อมได้ เหมือนเสือยืดลวดลายของเสื้อทรงยาวผ้าสลาป จึงใช้งานปักด้วยคอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยแต่ยังคงคอนเซ็ป คือ ลวดลายที่คิดขึ้นเองในแบบของไอแคน กนกอรบอกว่า งานเสื้อทรงยาวผ้าสลาป เป็นงานเดินด้ายแบบลายกวาง ที่ไม่เน้นลายซับซ้อน เช่น ลายหุ่นยนต์ การ์ตูน ที่พิมพ์ง่าย ปักง่าย แต่จะหันไปเน้นการใช้สีของด้าย เพื่อให้ปักแล้วลายดูเด่นตัดกับสีเสื้อจะแตกต่างจากเสื้อยืดที่ใช้เลื่อมสร้างความโดดเด่น แต่ทั้ง 2 แบบ ก็จะมีเสน่ห์ในสไตล์ของไอแคน

ปัจจุบัน ไอเเคน มี 2 สาขาประจำ อยู่ที่ siam square ซอย 2 1ittlesiam และ The one park ล็อค A54 มีกำลังการผลิตเลื้อยืดปักเลื่อมเพ้นท์ลายสัปดาห์ละ 400 – 500 ตัว งานเสื้อผ้าลลาป สัปดาห์ละ 700-800 ตัว โดยจะหมุนเวียนเปลี่ยนสีเลื้อและเพิ่มลายใหม่ๆทุก 3 เดือน ราคาขายเสื้อยืดอยู่ที่ตัวละ100 บาท ขายส่ง 70 บาท ส่วนผ้าสลาป150 บาท ขายส่ง 90 บาท ขั้นต่ำสั่ง 50ตัวขึ้นไป หากลั่งจำนวนไม่ เยอะสามารถไปอุดหนุนได้ที่ร้านทั้ง 2 สาขาหรือหากอยากลั่งเพื่อไปจำหน่ายต่อจำนวนมากๆ จะมีระยะเวลาผลิต เกิน1 สัปดาห์ ลูกค้าส่วนใหญ่มีทั้งปลีกและส่งทั้งคนไทยและต่างชาติ เซ่น ซาอุดิอาราเบีย ญี่ปุ่น และนิวซีแลนด์นอกจากนี้ไอแคนยังรับผลิตตามแบบของลูกคา และแบรนด์ของลูกค้าเอง ใครสนใจก็สามารถเข้าไปติดต่อขอเลือกแบบหรือถือลายของเราไปให้เขาผลิตให้ได้ หรือจะมีแค่ไอเดียที่นี่ก็รับสร้างสรรค์งานให้ด้วย อย่างไรก็ดีไอแคนยังจะมีแผนพัฒนาสินค้าอื่นๆเพิ่มเติม เช่น กางเกง กระเป๋า ทั้งของคุณผู้หญิงและคุณผู้ชาย โดยทั้งหมดจะมาพร้อมกับการอัดสินค้าใส่กระป๋องเหมือน เดิม
สนใจชมสินค้าติดต่อได้ที่ siamsquare ซอย 2 1ittle siam และ Theone park ล็อค A54 โทร. 087-679-2321

Wednesday, July 21, 2010

เลี้ยงกบหลังบ้านแบบเศรษฐกิจพอเพียง

คนเกษตร-สื่อเกษตร เลี้ยงกบหลังบ้านแบบเศรษฐกิจพอเพียงจากการที่ได้มีโอกาสไปทำข่าวตามที่ต่างๆ ได้พบเกษตรกรที่ประสบผลสำเร็จมากมาย ทั้งที่เลี้ยงเป็นฟาร์มขนาดใหญ่และขนาดเล็กแบบหลังบ้าน และนำมาผสมผสานกับความรู้ที่มีอยู่ ประกอบกับได้แนวคิดจาก ท่านเจตน์ ธนวัฒน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น ที่ท่านให้ข้อคิดแก่เกษตรกรในโอกาสต่างๆ ให้เกษตรกรนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มาเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต โดยเลี้ยงสัตว์และปลูกพืชไว้บริโภคในครัวเรือนเพื่อลดรายจ่ายและที่เหลือก็ขายเป็นรายได้ ซึ่งได้ทำเป็นแปลงตัวอย่างอยู่ในจวนผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่นจึงได้ตัดสินใจเลี้ยงกบ 400 ตัว ในพื้นที่ 4x5 เมตร ที่บริเวณหลังบ้านพักภายในสำนักงานเกษตรจังหวัดขอนแก่น

เริ่มจากเตรียมพื้นที่และคอกเลี้ยง เนื่องจากบริเวณหลังบ้านพักมีหนูค่อนข้างมาก ดังนั้น การทำคอกจะต้องเป็นคอกที่ป้องกันหนูได้ จึงได้คิดหาวิธีโดยใช้สังกะสีแผ่นเรียบขนาดกว้าง 3 ฟุต ยาว 8 ฟุต จำนวน 4 แผ่น (แผ่นละ 190 บาท) โดยแต่ละแผ่นตัดแบ่งครึ่งตามความยาวจะได้ขนาดกว้าง 1.5 ฟุต ยาว 8 ฟุต ด้านหนึ่งฝังดินในแนวนอน ล้อมในพื้นที่ขนาดกว้าง 4 เมตร ยาว 5 เมตร โดยใช้ตะปูตอกยึดกับหลักไม้ไผ่ที่หาได้ง่ายในท้องถิ่น แล้วนำมุ้งเขียวขนาดกว้างประมาณ 1 เมตร ยาว 27 เมตร (ราคาม้วนละ 160 บาท) มาล้อมในระดับความสูงถัดจากสังกะสีแผ่นเรียบอีกชั้นหนึ่ง

จากนั้นขุดสระขนาดกว้าง 1 เมตร ยาว 2 เมตร ลึกประมาณ 30 เซนติเมตร ปูด้วยผ้าพลาสติค ปล่อยน้ำเข้า จัดหาพืชน้ำมาใส่ เช่น ผักตบชวา ตาลปัตรฤาษี และปลูกผักบุ้งบริเวณรอบสระ นอกจากนี้ ยังจะต้องจัดทำที่สำหรับให้กบได้หลบซ่อน เช่น เศษกระเบื้องมุงหลังคา อิฐบล็อค ฯลฯเมื่อเตรียมสถานที่เลี้ยงพร้อมแล้ว ก็จัดหาลูกกบมาปล่อย โดยซื้อลูกกบอายุ 1 เดือนเศษ มาปล่อยจำนวนประมาณ 400 ตัว (ตัวละ 1-2 บาท)

การให้อาหาร จะให้วันละ 2 เวลา คือเช้าและเย็น อาหารที่ให้เป็นอาหารเม็ดลอยน้ำ ชนิดเดียวกับที่เลี้ยงปลาดุก ซึ่งมีอยู่ 3 เบอร์ คือ อายุ 1 เดือน ใช้อาหารเบอร์ 1 อายุ 2 เดือน ใช้อาหารเบอร์ 2 และเมื่ออายุ 3 เดือนขึ้นไป ใช้อาหารเบอร์ 3 ราคากิโลกรัมละ 18-20 บาท ในการให้อาหารจะใช้ที่รองก้นกระถางเป็นถาดให้อาหาร โดยวางไว้รอบๆ บ่อ 4-5 จุด เพื่อให้กบได้กินอาหารอย่างเต็มที่ ไม่แย่งกันจนเกินไป

ข้อแนะนำสำหรับสถานที่เลี้ยงควรเป็นที่ร่มรำไร อาจอยู่ใต้ร่มไม้ แต่ไม่ควรอยู่ใต้ร่มมะม่วง เพราะจะมีปัญหาทั้งในช่วงออกดอก เมื่อดอกร่วงหล่นและเมื่อติดผลอ่อนผลก็ร่วง จะทำให้น้ำเสียเร็ว ยิ่งระยะผลโตเมื่อลม/พายุพัดจะทำให้ผลมะม่วงตกลงมาถูกกบตายได้ ซึ่งกรณีนี้อาจจะต้องคลุมด้วยตาข่ายพรางแสง

การเปลี่ยนถ่ายน้ำ ในการเลี้ยงระยะแรกเปลี่ยนถ่าย 1-2 สัปดาห์ ต่อครั้ง และเมื่อกบโตก็เปลี่ยนถ่ายบ่อยขึ้นตามลำดับ เพราะกบจะถ่ายมูลมากขึ้นทำให้น้ำเสียเร็วขึ้น นอกจากนี้ ยังทำปุ๋ยน้ำหมักจากพืชผักและผลไม้สุก นำมาผสมน้ำรดบริเวณคอกและในบ่อเลี้ยงกบเป็นระยะๆ ก็จะช่วยแก้ปัญหาเรื่องกลิ่นเหม็นได้

"จากการเลี้ยงกบไปสักระยะจะสังเกตพบว่า กบจะเจริญเติบโตไม่เท่ากัน โดยจะมีกบที่โตเร็วกว่าเพื่อนประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ และมีกบที่โตช้ากว่าเพื่อนราว 10 เปอร์เซ็นต์ เช่นกัน และกบกลุ่มที่โตที่สุดก็จะกินกบกลุ่มที่เล็กที่สุด หากท่านเลี้ยงในคอกเดียวกันกบของท่านก็จะหายไปวันละ 10-20 ตัว เมื่อนานเข้าก็จะเหลืออยู่ไม่กี่ตัว ดังนั้น ท่านจะต้องสร้างคอกสำรองเพิ่มอีกหนึ่งคอก สำหรับแยกเอากบกลุ่มที่เล็กที่สุดมาเลี้ยง เมื่อเลี้ยงต่อไปสักระยะก็จะมีบางตัวที่โตกว่าเพื่อน จะต้องจับไปปล่อยในคอกใหญ่ ขณะเดียวกันที่คอกใหญ่ก็จะมีบางตัวที่โตไม่ทันเพื่อน จะต้องนำมาปล่อยในคอกเล็กหรือคอกสำรอง โดยจับกบย้ายคอกสัปดาห์ละครั้งก็พอ"สำหรับด้านการตลาด ขณะนี้มีผู้สนใจติดต่อซื้อบ้างแล้ว และเท่าที่ได้สอบถามผู้ที่อยู่ในวงการซื้อขายกบก็ทราบว่าปีนี้ราคาดีกว่าหลายๆ ปีที่ผ่านมา

ท่านที่เคารพครับ!!! นี่เป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของประสบการณ์ในการเลี้ยงกบแบบหลังบ้านที่นำมาถ่ายทอดสู่ท่านผู้อ่าน โดยใช้เวลาว่างให้อาหารเช้าและเย็น ซึ่งเราจะเพลิดเพลินกับการดูกบตัวโตๆ กินอาหาร เป็นการผ่อนคลายอีกอย่างหนึ่ง นอกจากนี้ ยังได้ปลูกผักปลอดสารพิษไว้บริโภคในครัวเรือนเพื่อลดรายจ่ายด้วย และนับว่าเป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับเกษตรกรและผู้ที่มีงานประจำก็สามารถทำได้เช่นกัน

ที่มา เทคโนโลยีชาวบ้าน

Monday, July 19, 2010

ป้ายเรซิ่น ธุรกิจเล็กๆ รายได้เสริมที่งดงาม

ปัจจุบันคนรุ่นใหม่หลายต่อหลายคนผันตัวมาทำธุรกิจส่วนตัวกันมาก บางคนที่ทุนหนาก็อาจจะลงทุนทำธุรกิจขนาดใหญ่สักหน่อย แต่ถ้าพอมีทุนอยู่บ้าง อาจเริ่มต้นด้วยการทำธุรกิจเล็กๆ ซึ่งถ้ามีการบริหารจัดการที่ดี ก็สามารถสร้างรายได้เลี้ยงตัวได้ไม่ยากอะไรเหมือนดังเช่นที่คุณเติ้ล…บรรณวัฒน์ สิริวิกรพัฒน์ คนรุ่นใหม่ที่มีใจรักด้านศิลปะหันมาลงทุนทำธุรกิจป้ายเรซิ่น ซึ่งเจ้าตัวบอกว่า รู้สึกมีความสุขดี“เริ่มทำธุรกิจนี้มาตั้งแต่ 3 ปีก่อน นี่ก็ย่างเข้าสู่ปีที่ 4 แล้ว ด้วยความที่เราคิดว่าน่าจะมีวัสดุที่ใช้แทนไม้ได้ ซึ่งเรซิ่นนั้นจะว่าไปแล้วถือว่าทนทานกว่าไม้ การหล่อแบบเป็นตัวอักษร ลวดลาย ตุ๊กตา ดอกไม้ และอะไรอื่นๆ ก็หล่อจากต้นแบบปูนพลาสเตอร์ สำหรับในส่วนของตัวป้ายยังคงใช้เป็นป้ายไม้ เหมือนป้ายทั่วไป ต่างกันตรงที่ตัวอักษร และลวดลายที่นำมาติดจะใช้เป็นตัวหล่อเรซิ่นแทนไม้” ด้วยหลักทำงานด้วยใจรัก ไม่ได้ซีเรียสว่าจะต้องได้รายได้มากๆ แต่อาศัยความพอเพียง ขายของด้วยราคามิตรภาพ เป็นกันเอง และสินค้าก็มีคุณภาพดี สิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยที่ทำให้ดำเนินธุรกิจอยู่ได้อย่างสบายๆ ป้ายเรซิ่น ธุรกิจเล็กๆ รายได้เสริมที่งดงาม


“ลูกค้าของเรา มีทั้งคนที่มาสั่งทำป้ายตกแต่งด้วยตัวอักษรเรซิ่น แต่บางคนอาจไม่ได้ซื้อป้าย แต่ซื้อตัวเรซิ่นเพื่อนำไปใช้เพื่อจุดประสงค์อื่นๆ เพราะบางคนอาจนำตัวเรซิ่นที่หล่อเป็นตัวอักษร หรือ ลวดลายต่างๆ ไปใช้ประกอบการตกแต่ง ทำงานฝีมือได้หลากหลายรูปแบบ ราคามีตั้งแต่ 10 บาท ไปจนถึง 40 บาท ซึ่งตรงนี้เรายินดีให้ลูกค้ามาเลือกหาเลือกซื้อ ตำหนิติชมได้ และไม่จำเป็นว่าจะต้องสั่งทำป้ายเพียงอย่างเดียว แต่ถ้ามาสั่งทำป้ายก็จะคิดราคาจากจำนวนตัวเรซิ่นที่ใช้ รวมกับค่าป้ายไม้ซึ่งมีให้เลือกหลายแบบ”โดยปกติแล้วคุณเติ้ลจะไปเปิดหน้าร้านอยู่ที่เมืองทองธานี ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์และฟิวเจอร์ปาร์ค รังสิต ในเวลาที่มีการจัดงานนิทรรศการต่างๆ ซึ่งลูกค้าประจำจะรู้และตามไปอุดหนุนกัน โดยจะรู้จักกันในชื่อร้าน แฟชั่น โฮมเรซิ่น อาร์ทนับเป็นตัวอย่างที่ดีของคนที่ทำงานด้วยหัวใจ มีความเป็นมิตรกับลูกค้า ทั้งยังใช้หลักเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งทั้งหมดนี้ก่อให้เกิดความสุขในการทำงาน และสามารถยืนหยัดอยู่ได้ใน ภาวะเศรษฐกิจดังเช่นทุกวันนี้

ที่มา:แก้จนดอทคอม

อาหารเกาหลี อาหารน่าขาย คนไทยนิยม

รายได้เสริม ขายอาหารเกาหลี“อาหาร เกาหลี” ปัจจุบันเป็นที่รู้จัก-เป็นที่นิยมในหมู่คนไทยมากขึ้นเรื่อยๆ เหมือนตอนที่อาหารญี่ปุ่นเริ่มฮิต ซึ่งตอนนี้ก็มีคนไทยทำธุรกิจร้านอาหารเกาหลีแล้วไม่น้อย แต่ตลาดก็น่าจะยังพอมีช่องว่าง ซึ่งในกรณีนี้ก็น่าจะรวมถึงการทำขายแบบเล็ก ๆ และวันนี้ทีม “ช่องทางทำกิน” ก็มีข้อมูลสูตรอาหารเกาหลีมานำเสนอ…
นฤพนธ์ เอื้อธนวันต์ เป็นเจ้าของร้านอาหารเกาหลี “ราเมียน บาย มิสเตอร์ลิม” ย่านถนนรัชดาภิเษก ซอย 3 เจ้าตัวเล่าว่า เปิดร้านนี้มาประมาณ 1 ปีแล้ว ซึ่งก่อนหน้านั้นเปิดที่ย่านโรบินสัน รัชดาฯ แต่ค่าเช่าที่ค่อนข้างสูง ทำให้ราคาอาหารต้องสูง ก็คิดว่าอยากจะให้คนทั่วไปที่ไม่ต้องมีกำลังทรัพย์มากได้มีโอกาสเข้าถึง อาหารเกาหลีด้วยราคาไม่แพง พอสัญญาเช่าร้านเดิมหมดอายุ จึงย้ายร้านมาอยู่ที่ปัจจุบัน
อาหารหลักทั่วไปของร้าน คือ “ข้าว” ซึ่งภาษาเกาหลีเรียกว่า “บับ” และ “บะหมี่” ซึ่งภาษาเกาหลีเรียกว่า “ราเมียน” ซึ่งเป็นที่มาของชื่อร้าน “ราเมียน” และเกี่ยวโยงกับชื่อเมนูต่าง ๆ โดยเมนูไฮไลต์ที่ร้านนี้คือ “จาจัง” ซึ่งปรุงขึ้นโดยใช้เนื้อหมูหั่นเป็นชิ้น ๆ ผัดกับ “ซอสจาจัง” เมื่อทำน้ำจาจังเสร็จเรียบร้อยแล้ว ถ้าราดบนบะหมี่เกาหลีเรียกว่า “จาจังเมียน” ถ้าราดบนข้าวเรียกว่า “จาจังบับ” แต่ความพิเศษคือราดบนข้าวห่อไข่ ซึ่งภาษาเกาหลีเรียกว่า “ออมูไรซึ” ก็จะได้รสชาติที่อร่อย หอม มีความนุ่มนวลของไข่ที่ห่อข้าว
“จาจังโอมูไรซึ” มีเครื่องปรุงประกอบด้วย เนื้อหมู, มันฝรั่ง, หอมใหญ่, กะหล่ำปลี และชุนจัง (ซอสดำเกาหลี) วิธีทำ เริ่มด้วยการนำหมูผัดกับหอมใหญ่ มันฝรั่ง และกะหล่ำปลีให้สุก เติมซอสชุนจังให้พอดี เติมน้ำซุป (ซึ่งเป็นน้ำซุปกระดูกหมู หรือน้ำซุปจากผงปรุงรสสำเร็จรูปก็ได้ โดยทั่ว ๆ ไปเรียกว่า น้ำสต๊อก) ปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาวและเกลือให้ได้รสชาติกลมกล่อม ราดบนข้าวหอมห่อไข่เป็น “จาจังโอมูไรซึ” ราคาชามละ 59 บาท
เมนูต่อมาก็คือ “บีบิมบับ” คำว่า “บีบิม” แปลว่า คลุก ผสม คนให้เข้ากัน คำว่า “บับ” แปลว่าข้าว ดังนั้น “บีบิมบับ” จึงแปลว่าข้าวที่คลุกให้เข้ากัน โดยที่ร้านนี้จะเป็น “บีบิมบับชนิดร้อน” เสิร์ฟในหม้อหินสีดำ นำเข้าจากประเทศเกาหลี โดยจะมีการจัดแต่งวางเรียงผักชนิดต่าง ๆ ให้สวยงามน่ารับประทาน แล้ววางบนเตาไฟ และตอกไข่ใส่ลงไปเพื่อให้ไข่ได้โดนความร้อน พอไข่เริ่มสุก ก็นำเสิร์ฟ พร้อมกับ “ซอสบีบิม” (คือซอสโกชูจัง-ซอสสีแดงเกาหลี ผสมกับเมล็ดงา, น้ำมันงา, น้ำส้มสายชู และ น้ำตาลทราย)
“บีบิมบับ” มีเครื่องปรุงประกอบด้วย ข้าวหอมมะลิ, หมูสับต้มสุก, แครอทหั่นฝอยเป็นเส้น ๆ, ผักกาดหอมหั่นฝอย, กะหล่ำปลีหั่นฝอย, ผักโขมลวกหั่นฝอย, แตงกวาหั่นฝอยเป็นเส้น ๆ, ไข่ดาว, น้ำมันงา และซอสโกชูจังปรุงรส (ซอสสีแดง) วิธีทำเริ่มที่ราดน้ำมันงาบนชามหินสีดำให้ทั่ว จากนั้นนำข้าวหอมใส่ไว้กลางชามหิน เสร็จแล้วเติมผักโดยเรียงรอบ ๆ ด้านข้างให้ทั่วทั้งชาม ตามด้วยการตอกไข่ไก่บนข้าว (กลางชาม) แล้วนำชามหินตั้งไฟ รอให้ไข่โดนความร้อนจนสุก เสิร์ฟพร้อมซอสโกชูจัง (ซอสแดงเกาหลี) ขายในราคาชามละ 120 บาท
ต่อไปเป็น “จำปงซุป” เป็นอีกหนึ่งเมนูที่คนไทยเริ่มรู้จัก ซึ่งจะปรุงขึ้นโดยนำเครื่องซีฟู้ (กุ้ง, หอยแมลงภู่, ปลาหมึก) ผัดกับพริกป่นเกาหลีและผักให้เกิดความหอม แล้วเติมน้ำซุปลงไป ซึ่งทางร้านของนฤพนธ์จะนำน้ำซุปที่ปรุงราดบนบะหมี่เกาหลี ทานแล้วอิ่มพอดี คล่องคอ กลมกล่อม หอมพริกเกาหลี
จำปงซุปนี้ประกอบด้วยเครื่องปรุงดังนี้คือ เส้นบะหมี่เกาหลี, พริกป่นเกาหลี, ซีฟู้ด, หอมใหญ่, กะหล่ำซอยเป็นเส้น ๆ, ถั่วงอก, แครอทหั่นซอยเป็นเส้น ๆ, ต้นหอมญี่ปุ่น วิธีทำคือผัดพริกป่นเกาหลีให้มีกลิ่นหอม เติมซีฟู้ด และผักต่าง ๆ ลงผัดให้สุก เติมน้ำซุปเล็กน้อย สุกแล้วจึงราดบนบะหมี่เกาหลี ราคาชามละ 79 บาท

อาชีพเสริม ขายอาหารเกาหลี“ต๊อกโบกิ” เมนูนี้คนไทยคุ้นเคยชื่อเมนูจากภาพยนตร์ซีรีส์เกาหลี ซึ่งจะทานเป็นอาหารทานเล่น หรือทานเป็นกับข้าวก็ได้ โดยคำว่า “ต๊อก” คือแป้งข้าวเหนียวที่นำมากวนและทำให้สุกในรูปแบบต่าง ๆ แต่โดยทั่วไปจะเป็นแท่ง ๆ คล้าย ๆ เทียน มีสีขาว ขนาดต่าง ๆ นำไปปรุงเป็นเมนูต่าง ๆ

ต๊อกโบกิ เครื่องปรุงประกอบด้วย แป้งต๊อก, หอมใหญ่, กะหล่ำปลีซอยเป็นเส้น ๆ, ถั่วงอก, แครอทหั่นซอยเป็นเส้น ๆ และต้นหอมญี่ปุ่น วิธีทำคือต้มแป้งต๊อกให้อ่อน นำมาผัดใส่ผักต่าง ๆ เติม “ซอสบีบิม” (ซอสแดงเกาหลีผสมกับเมล็ดงา น้ำมันงา น้ำส้มสายชู น้ำตาลทราย) ผัดคลุกเคล้าให้สุก ขายราคาชามละ 89 บาท
ทุกเมนูอาหารเกาหลีต้องเสิร์ฟพร้อม “กิมจิ” และอาจมี “ต้นอ่อนถั่วลิสงดอง” เพิ่มอีกต่างหาก โดยต้นทุนแต่ละเมนูที่ร้านของนฤพนธ์เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 70% ขอวงราคาขาย
ร้านของนฤพนธ์เปิดทุกวัน เวลา 10.00-22.00 น. หมายเลขโทรศัพท์คือ 08-7134-5246, 08-1456-7884 หากท่านใดสินค้าเรื่องของอาหารเกาหลีก็อย่ารอช้า รีบไปฝึกฝีมือของตนเองกันได้เลย
ที่มา : เดลินิวส์